Skip to main content

ระวัง!! สกินแคร์ต่อไปนี้ “ ไม่ควร “ ใช้ร่วมกัน (ถ้าไม่อยากหน้าพัง)

 ระวัง!! สกินแคร์ต่อไปนี้ “ ไม่ควร “ ใช้ร่วมกัน (ถ้าไม่อยากหน้าพัง)


การดูแลผิวหน้าและรักษาสุขภาพผิวหนังเป็นเรื่องสำคัญที่ทุกคนควรใส่ใจ อย่างไรก็ตาม การเลือกใช้ผลิตภัณฑ์สกินแคร์ที่ไม่เหมาะสมหรือไม่ควรใช้ร่วมกันอาจมีผลกระทบที่ไม่คาดคิดต่อสุขภาพผิวหน้าได้ เพื่อความรับรู้และความเข้าใจที่มีประสิทธิภาพเกี่ยวกับเรื่องนี้ ข้อควรระวังและเหตุผลสำคัญเกี่ยวกับสกินแคร์ที่ไม่ควรใช้ร่วมกันนั้นจึงมีความสำคัญมาก เพื่อให้ทุกคนสามารถเลือกใช้ผลิตภัณฑ์สกินแคร์ที่เหมาะสมและปลอดภัยต่อผิวหน้าของตนเองได้อย่างมั่นใจ ต่อไปนี้เป็นข้อควรระวังและเหตุผลที่สำคัญเกี่ยวกับการใช้สกินแคร์ที่ " ไม่ควร " ใช้ร่วมกัน



1. เรตินอล และ วิตามินซีเซรั่ม

   - เรตินอลจะสูญเสียประสิทธิภาพถ้าหน้าผิวมีค่า PH ที่ต่ำ หรือทีค่าความเป็นกรด ซึ่งวิตามินซีเซรั่มเป็นกรด และอีกทั้งเรตินอลและวิตามินซีเซรั่ม เวลาใช้จะเกิดความระคายเคืองอยู่นิดนึง เมื่อใช้ร่วมกันจะทำให้ผิวหน้าเรายิ่งแห้ง เพราะฉะนั้นเราควรหลีกเลี่ยงการใช้ร่วมกันเพื่อประสิทธิภาพที่ดีที่สุดสำหรับผิวหน้า เช่น การใช้วิตามินซีเซรั่มในช่วงเช้า เพราะวิตามินซีเซรั่มช่วยปกป้องเราจากยูวีได้ และใช้เรตินอลตอนกลางคืน



2. เรตินอล และ AHA 

   - AHA จะออกฤทธิ์เร่งการผลัดเซลล์ผิวให้เร็วขึ้น ช่วยให้เซลล์ผิวเก่าบนผิวหน้าหลุดออก ช่วยกระตุ้นคอลลาเจน หรือลดริ้วรอยตื้นๆ ขณะเดียวกันเรตินอล ก็ช่วยลดริ้วรอยเหมือนกัน อีกทั้งสองตัวนี้เร่งการผลัดเซลล์ผิวเหมือนกัน ทำให้ผิวหน้าเรา แห้งมาก แดงมาก และ ลอกมาก เพราะฉะนั้น เรตินอล และ AHA ไม่ควรใช้วันเดียวกัน


3. BHA และเรตินอล

   - BHA ช่วยละลายไขมันที่อุดตันตามรูขุมขน และยังผลัดเซลล์ผิวคล้ายกับเรตินอล ถ้าใช้ร่วมกันจะทำให้ผิวแห้งหรือระคายเคืองผิว ไม่ควรใช้ร่วมกัน ควรใช้สลับกัน



4. เรตินอลและ Benzac

   - การใช้เรตินอลร่วมกับ Benzac ทำให้ผิวหนังแห้งหรือเกิดความระคายเคืองได้ อีกทั้ง Benzac ยังลดประสิทธิภาพการทำงานของเรตินอล ดังนั้นควรหลีกเลี่ยงใช้ร่วมกันหรือใช้ในระยะเวลาที่แตกต่างกัน


การระมัดระวังในการใช้สกินแคร์

การระมัดระวังในการใช้สกินแคร์จะช่วยลดความเสี่ยงต่อผิวหนังและสุขภาพของคุณอย่างมีประสิทธิภาพและปลอดภัย คำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญและการทดลองก่อนการใช้ผลิตภัณฑ์สกินแคร์ที่ไม่ควรใช้ร่วมกันจึงเป็นสิ่งสำคัญที่ควรตระหนักและปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด


คำถามที่พบบ่อย


1. การใช้สกินแคร์ที่ไม่เหมาะสมร่วมกันอาจทำให้เกิดผลข้างเคียงได้หรือไม่?

   - ใช่, การใช้สกินแคร์ที่ไม่เหมาะสมร่วมกันอาจทำให้เกิดผลข้างเคียงหรือไม่ได้ผลตามที่คาดหวัง เช่น ผิวแห้งหรือระคายเคืองผิว


2. เรตินอลสามารถใช้ร่วมกับผลิตภัณฑ์ที่มีกรดอื่นๆได้หรือไม่?

   - ไม่ควร, เรตินอลมักทำให้ผลิตภัณฑ์อื่นๆ สูญเสียประสิทธิภาพ และอาจทำให้เกิดผลข้างเคียง


3. การใช้เรตินอลร่วมกับกรด AHA หรือ BHA อาจทำให้เกิดผลข้างเคียงได้หรือไม่?

   - ใช่, การใช้ร่วมกันอาจทำให้เกิดผลข้างเคียง เช่น ผิวแห้งหรือระคายเคืองผิว


4. เรตินอลสามารถใช้ร่วมกับ Benzac ได้หรือไม่?

   - ไม่ควร, การใช้ร่วมกันอาจทำให้ผิวหนังแห้งหรือเกิดความระคายเคืองได้


5. การใช้ผลิตภัณฑ์สกินแคร์ที่ไม่เหมาะสมร่วมกันอาจทำให้ผิวหนังเสียหายได้หรือไม่?

   - ใช่, การใช้ร่วมกันอาจทำให้เกิดความเสียหายต่อผิวหนังได้ เช่น ผิวแห้งหรือระคายเคืองผิว


Comments

Popular posts from this blog

ทำไมโกนหนวดแล้วหนวดแข็งขึ้น ??

  ทำไมโกนหนวดแล้วหนวดแข็งขึ้น ?? การโกนหนวดเป็นสิ่งที่หลายคนทำเป็นประจำเพื่อให้ดูสะอาดและเป็นระเบียบ แต่เคยสังเกตไหมว่า บางครั้งเมื่อเราโกนหนวดแล้ว หนวดกลับแข็งขึ้นและดูหนาขึ้นกว่าเดิม? นี่คือความรู้สึกที่หลายคนรู้สึกว่ามันจริงหรือเป็นเพียงความเชื่อ เรามาดูกันว่าทำไมโกนหนวดแล้วหนวดแข็งขึ้นจริงไหม? ความเชื่อที่ว่าโกนหนวดทำให้หนวดแข็งขึ้น ความเชื่อนี้เกิดขึ้นเนื่องจากเมื่อเราสัมผัสกับหนวดที่เพิ่งถูกโกน มันอาจจะให้ความรู้สึกที่แข็งและหนากว่าหนวดที่ยาวแล้ว นั่นเป็นเพราะเมื่อเราโกนหนวด เราโกนเฉพาะส่วนที่อยู่นอกผิวหนัง ทำให้ปลายของหนวดมีลักษณะที่คมและตรงกว่าหนวดที่งอกออกมาเอง ข้อเท็จจริงทางวิทยาศาสตร์ การศึกษาแสดงให้เห็นว่า การโกนหนวดไม่ได้เปลี่ยนแปลงโครงสร้างหรือความหนาของเส้นหนวด นั่นหมายความว่า การที่หนวดดูเหมือนจะแข็งขึ้นหลังการโกน เกิดจากความรู้สึกทางผิวสัมผัสมากกว่าการเปลี่ยนแปลงในโครงสร้างของหนวด ทำไมหนวดถึงรู้สึกแข็งขึ้น? ปลายคมและตรง:เมื่อหนวดถูกโกน ปลายของหนวดจะเป็นปลายที่คมและตรง ซึ่งเมื่อหนวดเริ่มงอกออกมา มันจะให้ความรู้สึกที่แข็งและหยาบกว่าหนวดที่ยาวแล้ว การเติบโตอย่างรวดเร็...

"จริงไหม! ที่เนื้อคู่จะหน้าตาเหมือนกัน"

  "จริงไหม! ที่เนื้อคู่จะหน้าตาเหมือนกัน"     ความสัมพันธ์ที่สวยงามระหว่างคู่รักมักมีหลายปัจจัยที่เป็นผลมากมาย บางครั้งความคล้ายคลึงกันในเรื่องของลักษณะภายนอกของเนื้อคู่ อาจทำให้เกิดความสงสัยในใจของเราว่ามันเกิดจากอะไร จริงไหม! ที่เนื้อคู่จะหน้าตาเหมือนกัน? เพื่อเข้าใจเรื่องนี้มากขึ้น เราต้องมาพูดถึงภาวะที่เรียกว่า "Mere Exposure Effect" กันครับ 1. Mere Exposure Effect คืออะไร?     Mere Exposure Effect เป็นภาวะที่เกิดขึ้นเมื่อเราได้เจอสิ่งนั้นๆ หรือคนนั้นๆ บ่อย ๆ และมีแนวโน้มที่จะมองเห็นในแง่บวกมากขึ้น โดยที่เราไม่รู้สึกตระหนักถึงการเจอเหล่านั้น 2. การทดลองและการวิจัย      การศึกษาทางจิตวิทยาได้พบว่าผู้ที่ได้สัมผัสสิ่งนั้นๆ หรือเจอคนนั้นๆ บ่อย ๆ มักจะมีความรู้สึกที่ดีต่อเขา หรือมีการปรับพฤติกรรมต่อเขาในทางที่ดีขึ้น เช่น ถ้าเราเจอคนแปลกหน้า แต่เค้าชื่อเหมือนเรา เราจะมีแนวโน้ม จะรู้สึกคุ้นเคยหรือรู้สึกดีกับเค้าได้มากขึ้น หรือ มีสิ้นค้าอยู่สองตัว ตัวที่เราเห็นบ่อยบ่อย กับอีกตัวที่เราไม่เคยเห็นเลย เราก็จะเลือกตัวที่เราเห็นบ่อย...

ทำไมนักกีฬาถึงวิ่งไม่เหนื่อย

  ทำไมนักกีฬาถึงวิ่งไม่เหนื่อย นักกีฬาบางครั้งสามารถวิ่งได้โดยไม่รู้สึกเหนื่อย เพราะเค้าออกกำลังกายสม่ำเสมอ ก็เลยฟิต ซึ่งวันนี้ผมก็จะมาเล่าครับ ว่าความฟิตในนั้นมันเกิดจากอย่างงี้ครับ 1. กล้ามเนื้อแข็งแรง นักกีฬามีการฝึกฝนร่างกายอย่างต่อเนื่องซึ่งทำให้กล้ามเนื้อของพวกเขาเรียบเรียงและแข็งแรงขึ้น ซึ่งทำให้พวกเขาสามารถวิ่งได้โดยไม่รู้สึกเหนื่อยมากนัก 2. การฝึกฝนกล้ามเนื้อที่ทนทาน การฝึกฝนแบบต่อเนื่องช่วยเสริมความทนทานของกล้ามเนื้อให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น ทำให้นักกีฬาสามารถทำงานกายภายใต้สภาวะการเคลื่อนไหวที่มีความยากลำบากได้โดยไม่รู้สึกเหนื่อย 3. ปอดและหัวใจแข็งแรง การฝึกฝนอย่างสม่ำเสมอช่วยเสริมสร้างปอดและหัวใจให้แข็งแรงขึ้น ทำให้ร่างกายสามารถนำเสนอออกซิเจนและโลหิตไปยังกล้ามเนื้อได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยให้นักกีฬาสามารถวิ่งได้โดยไม่เหนื่อย 4. โภชนาการที่ถูกต้อง กรดอะมิโนกลุ่ม BCAAs เป็นสารอาหารที่ช่วยให้ร่างกายสามารถสร้างกล้ามเนื้อได้ดีขึ้น และช่วยในกระบวนการฟื้นตัวหลังจากการออกกำลังกาย แต่เราไม่สามารถสร้างกรดอะมิโนกลุ่ม BCAAs ด้วยตัวเองได้ สามารถหากรดอะมิโนกลุ่ม B...